วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Catutthapārājikasikkhāpada

4.Catutthapārājikasikkhāpada 

ห้ามภิกขุอวดอุตริมนุษธัมม์

Catutthapārājikasikkhāpada
(สิกขาบท: จตุตถปาราชิกะ)

ปาราชิกสิกขาบทที่ 4
ขาดจากความเป็นภิกขเพราะอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน

“Yo pana bhikkhu anabhijānaṃ uttarimanussadhammaṃ attupanāyikaṃ alamariyañāṇadassanaṃ samudācareyya— ‘iti jānāmi iti passāmī’ti, tato aparena samayena samanuggāhīyamāno vā asamanuggāhīyamāno vā āpanno visuddhāpekkho evaṃ vadeyya— ‘ajānamevaṃ, āvuso, avacaṃ jānāmi, apassaṃ passāmi. Tucchaṃ musā vilapin’ti, ayampi pārājiko hoti asaṃvāso”ti.
Mahāsaṅgīti Tipiṭaka Buddhavasse 2500
1V:551-551 Creative Commons License

โย ปะนะ ภิกขุ อะนะภิชานัง อุตตะริมะนุสสะธัมมัง…

“อนึ่ง ภิกขุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้นอันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่านข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกขุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.”

วิภังค์ (จำแนกความ)

บทว่า อุตตริมนุสสธัมม์ ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า

บทว่า เป็นปาราชิก ความว่า ต้นตาลมียอดด้วนแล้ว ไม่อาจจะงอกอีกแม้ฉันใด ภิกขุก็ฉันนั้นแหละ มีความอยากอันลามก อันความอยากครอบงำแล้วพูดอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก

อนาบัติ

1.ภิกขุสำคัญว่าได้บรรลุ
2.ภิกขุไม่ประสงค์จะกล่าวอวด
3.ภิกขุวิกลจริต
4.ภิกขุมีจิตฟุ้งซ่าน
5.ภิกขุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา
6.ภิกขุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติ.

เรื่องต้นบัญญัติ

พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี สมัยนั้นมีภิกขุหลายรูปที่ชอบพอเป็นมิตรสหายกัน จำวัสสาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา สมัยนั้น เกิดทุพภิกขภัยในแคว้นวัชชี (ราชธานีชื่อเวสาลี) ภิกขุทั้งหลายลำบากด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี.

บางรูปเห็นว่า ควรช่วยแนะนำกิจการงานของคฤหัสถ์ บางรูปเห็นว่าควรทำหน้าที่ทูต (คือ นำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น นำความข้างนั้นมาบอกข้างนี้ คล้ายบุรุษไปรษณีย์) บางรูปเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกขุรูปนั้น รูปนี้ มีคุณวิเศษอย่างนั้น อย่างนี้ เช่น ได้ฌานที่ 1 ฌานที่ 2 เป็นต้น จนถึงว่าได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มีวิชชา 3 มีอภิญญา 6
เมื่อเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงเที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ ชาวริมน้ำวัดคุมุทาเป็นอย่างดี มีผิวพณ ผ่องใส เอิบอิ่ม เมื่อออกวัสสาแล้ว จึงเก็บเสนาสนะเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ กรุงเวสาลี.

ปรากฎว่าภิกขุที่มาแต่ทิศทางอื่นล้วนซูบผอม ผิวพรรณทราม มีเส้นเอ็นขึ้นเห็นได้ชัด ส่วนภิกขุที่มาจากฝั่งน้ำวัดคุมุทากลับอิ่มเอิบ อ้วนพี พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามทุกข์สุข และทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสติเตียนและเรียกประชุมภิกขุทั้งหลาย ตรัสเรื่องมหาโจร 5 ประเภท เปรียบเทียบกับภิกขุว่า
มหาโจร 5 จำพวก

“ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย มหาโจร 5 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร 5 จำพวกเป็นไฉน?

1. ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเองให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญสมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเองให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด

ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย   ภิกขุผู้เลวทรามบางรูปในธัมม์วินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกขุร้อยหนึ่ง หรือ พันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมาเธอเป็นผู้อันภิกขุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานีอันคฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่

1 มีปรากฏอยู่ในโลก

2. ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกขุผู้เลวทรามบางรูปในธัมม์วินัยนี้ เล่าเรียนธัมม์วินัยอันตถาคตประกาศแล้ว อวดอ้างว่าเป็นของตน ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 2 มีปรากฏอยู่ในโลก

3. ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกขุผู้เลวทรามบางรูปในธัมม์วินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธัมม์อันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อัน หามูลมิได้ ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 3 มีปรากฏอยู่ในโลก

4. ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกขุผู้เลวทรามบางรูปในธัมม์วินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 4 มีปรากฏอยู่ในโลก

5. ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ภิกขุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสธัมม์อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกขุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.”

ครั้งแล้วทรงติเตียนภิกขุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัดคุมุทา ด้วยประการต่าง ๆ พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน เมื่ออวดไปแล้ว แม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลัง ก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกขุ.

อนุบัญญัติ

สมัยนั้น ภิกขุหลายรูป สำคัญผิดว่าตนได้บรรลุคุณพิเศษ จึงประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์ (พยากรณ์อรหัตตผล) สมัยต่อมาจิตของเธอน้อมไปเพื่อราคะ โทสะ โมหะ ก็เกิดความรังเกียจ สงสัยว่า การประกาศตนว่าได้บรรลุคุณวิเศษ ด้วยความสำคัญผิด จะทำให้ต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม ยกเว้นให้สำหรับภิกขุผู้สำคัญว่าได้บรรลุ

องค์แห่งอาบัติ

1.อุตตริมนุสสธัมม์ไม่มีในตน
2.อวดด้วยมุ่งลาภ สรรเสริญ
3.ไม่อ้างผู้อื่น
4.บอกแก่ผู้ใดผู้นั้นเป็นชาติมนุษย์
5.เขารู้ด้วยความในขณะนั้น

พร้อม ด้วยองค์ 5 ดังนี้ จึงเป็นปาราชิก (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 130).

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น