วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Duṭṭhullavācāsikkhāpada

3.Duṭṭhullavācāsikkhāpada 

ห้ามภิกขุพูดเกี้ยวหญิง

Duṭṭhullavācāsikkhāpada
(สิกขาบท: วาจาชั่วหยาบ)

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 3
อาบัติหนักเพราะมีจิตกำหนัดพูดเกี้ยวหญิง 

“Yo pana bhikkhu otiṇṇo vipariṇatena cittena mātugāmaṃ duṭṭhullāhi vācāhi obhāseyya yathā taṃ yuvā yuvatiṃ methunupasaṃhitāhi, saṃghādiseso”ti. (3:7)
Mahāsaṅgīti Tipiṭaka Buddhavasse 2500
1V:1135-1135 Creative Commons License

โย ปะนะ ภิกขุ โอติณโณ วิปะริณะเตนะ จิตเตนะ มาตุคามัง…

“อนึ่ง ภิกขุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาวด้วยวาจาพาดพึงเมถุน เป็นสังฆาทิเสส.”

วิภังค์

วาจาที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ วาจาที่พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค และเมถุนธัมม์
บทว่า พูดเคาะ คือที่เรียกกันว่า ประพฤติล่วงเกิน (ทางวาจา)

อนาบัติ

1.ภิกขุผู้มุ่งประโยชน์
2.ภิกขุผู้มุ่งธัมม์
3.ภิกขุผู้มุ่งสั่งสอน
4.ภิกขุวิกลจริต
5.ภิกขุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล.

เรื่องต้นบัญญัติ

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม แล้วเล่าเรื่องสตรีหลายคนพากันไปชมวิหารของพระอุทายี ซึ่งเลื่องลือกันว่างดงาม พระอุทายีก็ถือโอกาสนั้นพูดจาพาดพิงถึงทวารหนักทวารเบาของหญิงเหล่านั้น. หญิงบางคนที่เป็นคนคะนองไม่มีความอาย ก็ยิ้มแย้ม ซิกซี้ คิกคัก พูดล้อกับพระอุทายี ส่วนหญิงที่มีความละอาย ก็ว่ากล่าวติเตียน

ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ก็ทรงติเตียนแล้วทรงบัญญัติ สิกขาบท ห้ามภิกขุมีจิตกำหนัดพูดเกี้ยว หญิงด้วยวาจาชั่วหยาบ พาดพิงเมถุน ทำนองชายหนุ่มพูดเกี้ยวหญิงสาว ทรงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ผู้ล่วงละเมิด.

องค์แห่งอาบัติ

1.หญิงมนุษย์
2.รู้อยู่ว่าเป็นหญิง
3.กำหนัดยินดีการที่จะกล่าวคำชั่วหยาบ
4.กล่าวตามความกำหนัดนั้น
5.หญิงรู้ความในขณะนั้น

พร้อมด้วยองค์ 5 ดังนี้ จึงเป็นสังฆาทิเสส (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า 135)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น