ประมวลพุทธบัญญัติอริยวินัยจากพระไตรปิฎกนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตและวิธีดำเนินกิจการต่างๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
ที่เรียกว่า
พระวินัย ซึ่งเป็นพุทธบัญญัติ แบ่งออกได้สองส่วน คือ
อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายบทบัญญัติ หรือข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นพุทธอาณา เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายและวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดโดยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง พระสงฆ์สวดทุกกึ่งเดือน เรียกว่า
พระปาติโมกข์ และส่วน
อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายขนมธรรมเนียมเกี่ยวกับมรรยาท และความเป็นอยู่ที่ดีงามสำหรับชักนำความประพฤติ ความเป็นอยู่ของสงฆ์ให้ดีงาม มีคุณค่า น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้นไปพระวินัยนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติล่วงหน้า ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามประพฤติเช่นนั้นอีก ดังจะเห็นได้ว่าในตอนต้นพุทธกาล คือตั้งแต่พรรษาที่ 1 ถึงพรรษาที่ 11 พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แน่นอน เพราะภิกษุสงฆ์ล้วนมีวัตรปฏิบัติดีงามตามแบบอย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติปฏิบัติมาต่อมา หลังจากออกพรรษาที่ 12 นี้แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ 1 ห้ามภิกษุเสพเมถุน โดยปรารภเหตุการณ์มัวหมองในคณะสงฆ์ อันเนีื่องมาจากการที่พระสุทินเสพเมถุนกับอดีตภรรยาที่ป่ามหาวันกรุงเวสาลี การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัิติครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และทรงบัญญัติเรื่อยมาทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดีงามขึ้นในคณะสงฆ์
ในการบัญญัติสิกขาบทแต่ละครั้งมีขั้นตอน ดังนี้คือ เมื่อเกิดเรื่องมัวหมองขึ้นภายในคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทูลรับแล้ว ทรงชี้โทษแห่งการประพฤติเช่นนั้น และตรัสอานิสงส์แห่งความสำรวมระวัง แล้วจึงทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำอย่างนั้นอีกต่อไป
ทรงกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิด เรียกว่า ปรับอาบัติ คำว่า อาบัติ แปลว่า การต้อง (ความผิด)
การล่วงละเมิด คำนี้เป็นชื่อเรียกกิริยาที่ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้น ๆ และเป็นชื่อเรียกโทษหรือความผิดที่เกิดจากการล่้วงละเมิดสิกขาบท เช่น ภิกษุกล่าวอุตตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก เป็นต้น
อาบัติมี 7 กองคือ
- ปาราชิก (แปลว่า ผู้พ่ายแพ้)
- สังฆาทิเสส (แปลว่า อาบัติอันจำปรารถนาสงฆ์ ในกรรมเบื้องต้นและกรรมที่เหลือ)
- ถุลลัจจัย (แปลว่า การล่วงละเมิดที่หยาบ)
- ปาจิตตีย์ (แปลว่า การละเมิดที่ยังกุศลให้ตก)
- ปาฎิเทสนียะ (แปลว่า ทำไม่ดี)
- ทุกกฏ (แปลว่า ทำไม่ดี)
- ทุพภาสิต (แปลว่า พูดไม่ดี)
อาบัติปราราชิกมีโทษหนัก ทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจากความเป็นภิกษุ
อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษหนักน้อยลงมา ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือ ประพฤติวัตรตามที่ทรงบัญญัติ จึงจะพ้นจากอาบัตินี้
ส่วนอาบัติ 5 กองที่เหลือมีโทษเบา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิด ต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ดังที่เรียกว่า ปลงอาบัติ ( มีรายละเีอียดวิธีในภาคผนวก หน้า 418 – 419 ) จึงจะพ้นอาบัติเหล่านี้
บทบัญญัิติในพระวินัยแต่ละข้อหรือมาตรา เรียกว่า สิกขาบท แปลว่า ข้อที่ต้องศึกษา…
พระวินัยปิฎก ในพระไตรปิฎกมีการแบ่งออกเป็น 5 คัมภีร์ 8 เล่้มดังนี้
1. คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ หรือ
มหาวิภังค์ ว่าด้วยบทบัญญัติสำหรับภิกษุ 227 สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ เป็นประธานแม่บท สงฆ์ยกขึ้นทบทวนทุกกึ่งเดือนแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
ภิกขุวิภังค์ ภาค1 พระวินัยปิฏก เล่ม 1 ว่าด้วยปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2
ภิกขุวิภังค์ ภาค2 พระวินัยปิำฎก เล่ม 2 ว่าด้วยนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (ปาจิตตีย์ที่ต้องสละของก่อนจึงปลงอาบัติได้) 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ 4 เสขิยะ 35 อธิกรณสมถะ (วิธีระงับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วสงฆ์ตัองจัดต้องทำ) 7
2. คัมภีร์ภิกขุนีวิภังค์ พระวินัยปิฎก เล่ม 3 ว่าด้วยบทบัญญัติสำหรับภิกษุณี 311 สิกขาบท ที่มาในภิกขุณีปาติโมกข์ส่วนที่ไม่ซ้ำกับของภิกษุ (มิำได้นำมาประมวลไว้ในหนังสือนี้) สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้นปรับอาบัติแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดไว้ครบทุกอาบัติ คือระบุอาบัติโดยตรง 4 กอง ได้แก่อาบัติ ปาราชิก, สังฆาทิเสส, ปาจิตตีย์ (ทั้งนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ที่ต้องสละของเสียก่อนจึงปลงอาบัติ และ สุทธิกปาจิตตีย์) และปาฏิเทสนีย์ มีอาบัติที่ไม่ได้ระบุไว้โดยตรงอีก 3 กอง ซึ่งเป็นความผิดของสิกขาบทในพระปาติโมกข์บางข้อ ที่ทรงปรับโทษแบบลดระดับในกรณีที่มีการกระทำผิด ในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากสิกขาบทที่บัญญัติไว้เพียงเล็กน้อย ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย, อาบัติทุกกฏ, อาบัติทุพภาสิต
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์เหล่านี้ ยกเว้นอนิยตและเสขิยะจัดเป็นอาิทิพรหมจริยกาสิขา ส่วนอนิยต เสขิยะ และสิกขาบทจำนวนมากที่มานอกพระปาติโมกข์ล้วนเป็น
อภิสมาจาริกาสิกขา มีทั้งที่ทรงบัญญัติเป็นข้อห้ามและข้ออนุญาต ในกรณีที่เป็นข้อห้าม ถ้าภิกษุล่วงละเมิดไม่ปฏิบัิติตามทรงปรับอาบัติทุกกฏ ปรับตามควร เช่น ปาจิตตีย์ หรือปรับสูงขึ้นไปถึงถุลลัจจัย
3. คัมภีร์มหาวรรค แปลว่า วรรคใหญ่ คือว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับสงฆ์ที่เป็นเรื่องสำคัญ ๆ และต้องทำเสมอ แบ่งเป็น 2 ภาค รวม 10 ขันธ์
มหาวรรค ภาค 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 4 มี 4 ขันธ์ หรือ มหาขันธ์ : หมวดว่าด้วยเรื่องสำคัญ เหตุการณ์ตั้งแต่ตรัสรู้, อุโบสถขันธ์ : หมวดว่าด้วยอุโบสถ, วัสสูปนายิกาขันธ์ : ว่าด้วยการเข้าพรรษา, ปวารณาขันธ์ : ว่าด้วยการให้ภิกษุอื่นตักเตือนได้.
มหาวรรค ภาค 2 พระวินัยปิฎก เล่ม 5 มี 6 ขันธ์ คือ จัมมขันธ์ : ว่าด้วยหนัง เรื่องรองเท้า ยานพาหนะ, เภสัชชขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องเภสัช ปานะ การเก็บอาหาร, กฐินขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องกฐิน,จีวรขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องจีวรการใช้ผ้า, จัมเปยยขันธ์ : ว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงจัมปา ว่าด้วยการลงโทษของสงฆ์ต่างๆ, โกสัมพิขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องเหตุการณ์ในกรุงโกสัมพี ส่วนใหญ่กล่าวถึงเรื่องสงฆ์ แตกสามัคคีกัน แล้วทรงแสดงวิธีปรองดองของสงฆ์ในทางวินัย
4. คัมภีร์จุลวรรค แปลว่า วรรคเล็ก หมายถึงวรรคที่ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ด นอกจากบทบัญญัติที่มาในพระปาติโมกข์ แบ่งเป็น 2 ภาค รวม 12 ขันธ์
จุลวรรค ภาค 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 6 เนื้อหาเกือบทั้งหมดไม่ได้ว่าด้วยบทบัญญัติที่เป็นข้อห้าม แต่ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ทางกระบวนการสงฆ์ ที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสงฆ์ มี 4 ขันธ์ คือ กัมมขันธ์ : ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการลงโทษ เพื่อแก้ไขทิฏฐิพฤติกรรมของภิกษุอันเกิดในสงฆ์ ที่เกิดเพราะเหตุมรรคหรือปฏิปทา, ปาริวาสิกขันธ์ : ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับปริวาสกรรม, สมุจจยขันธ์ : ประมวลวิธีเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส, สมถขันธ์ : ขยายความวิธีระงับอธิกรณ์
เรื่องไม่ดีงามซึ่งเกิดขึ้นในสงฆ์ ถ้าเป็นการละเมิดบทบัญญัติ ภิกษุผู้ละเมิดย่อมต้องอาบัติตามสมควรแก่กรณีแน่นอน โดยไม่ต้องมีใครมากล่าวโทษแต่ในบางกรณีหลังจากที่ปรับโทษแล้ว ยังต้องมีกระบวนการที่คณะสงฆ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การอยู่ปริวาสกรรม – การประพฤติมานัต เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
, หรือกรณีที่อาจจะมีเหตุก่อผลกระทบต่อมหาชนเป็นอันมาก จึงต้องมีวิธีการลงโทษเพื่อแก้ไขทิฏฐิพฤติกรรมของภิกษุที่เกิดเพราะเหตุมรรคหรือปฏิปทา
, หรือกรณีมีอธิกรณ์เกิดขึ้น จึงมีวิธีระงับอธิกรณ์ หล่านี้ล้วนเป็นมาตราการที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสงฆ์ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาของสงฆ์อย่างเด็ดขาด และเพื่อประคับประคอมศรัทธาของชาวบ้านผู้ถวายความอุปถัมภ์
จุลวรรค ภาค 2 พระวินัยปิฎก เล่ม 7 นี้ เป็นเรื่องข้อห้าม และข้ออนุญาตเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อร่างกายและอื่น ๆ แบ่งเป็น 8 ขันธ์ คือ ขุททกวัตถุขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ด เช่น ข้อปฏิบัติในการอาบน้ำ การดูมหรสพ บาตร เครื่องใช้โลหะ, เสนาสนขันธ์ : ว่าด้วยเรื่องที่อยู่ เครื่องใช้ ตลอดจนการก่อสร้าง, สังฆเภทขันธ์ : ว่าด้วยการทำสงฆ์ให้แตกกัน, วัตตขันธ์ : ว่าด้วยวัตรข้อปฏิบัติ 14 เรื่อง เช่นการปฏิบัติต่ออาคันตุกะ อุปัชฌาย์ ศิษย์ เป็นต้น, ปาฏิโมกขัฏฐปนขันธ์ : การงดสวดปาติโมกข์ พร้อมเงื่อนไข, ภิกขุนีขันธ์ : กล่าวถึงความเป็นมา ข้อปฏิบัติ ข้อห้าม ข้ออนุญาตต่าง ๆ เกี่ยวกับนางภิกษุณี, ปัญจสติกขันธ์ : ว่าด้วยเหตุการณ์หลังพุทธปรินิพพานถึงทำสังคายนาครั้งที่ 1 ของพระอรหันต์ 500 รูป, สัตตสติกขันธ์ : ว่าด้วยมูลเหตุ และการดำเนินการในการทำสังคายนาครั้งที่ 2 ของพระอรหันต์ 700 รูป.
5. คัมภีร์ปริวาร พระวินัยปิฎก เล่ม 8 นี้เป็นคัมภีร์ประกอบหรือคู่มือ บรรจุคำถามตอบสำหรับซ้อมความรู้พระวินัยตั้งแต่ เล่ม 1 – 7 เป็นการประมวลเนื้อหาที่สำคัญต่าง ๆ มากล่าวไว้ มาจัดเป็นหัวข้อ
อนึ่ง การรวบรวมประมวลพระพุทธบัญญัติอริยวินัย จากพระไตรปิฎก เล่มนี้ เป็นการสรุปย่อรวบรวมให้กระทัดรัดเข้าใจง่าย รักษาใจความหรือยกพุทธพจน์โดยตรงในบางตอน เพื่อให้เหมาะสมกับผู้สนใจใคร่ศึกษาสามารถศึกษานำไปปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาตนเอง และเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นกระทั่งสังคม ดังกล่าวไว้แล้ว
โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสนใจ ที่จะศึกษาจากพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกโดยตรง นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการจัดทำหลายประการ เช่น พยายามจะให้มีขนาดของหนังสือไม่หนาจนเกินไป เป็นต้น
จึงได้จัดหมวดหมู่ โดยอ้างอิงการจัดหมวดหมู่ตามพระไตรปิฎกดังแสดงในแผนผังสารบาญ และมีรายละเอียดการจัดรวบรวมพิเศษอื่น ๆ ที่ควรทราบดังนี้ :-
รายละเอียดการจัดเรียงพิเศษอื่นๆ ที่ควรทราบของหนังสือเล่มนี้
1. รวบรวมอริยวินัยเฉพาะส่วนภิกษุสงฆ์ทั้งหมด แต่มิได้เรียบเรียงในส่วนสิกขาบทภิกษุณีสงฆ์ ที่มาในพระวินัยปิฎก เล่ม 3 (เพื่อให้มีขนาดไม่หนามากจนเกินไป)
2. ในส่วนวินัยที่มาในพระปาติโมกข์ ในทุกสิกขาบท พระไตรปิฎกจะลำดับเนื้่อหาของแต่ละสิกขาบทในลักษณะเดียวกันคือ
1. ต้นบัญญัติ เล่าเรื่องต้นเหตุ ที่ทำให้ทรงบัญญัติสิกขาบท
2. พระบัญญัติ คือสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ และอนุบัญญัติ คือการบัญญัติเพิ่มเติมข้อความให้กับสิกขาบทนั้น เพื่อความรอบคอบรัดกุม
3. สิกขาบทวิภังค์และบทภาชนีย์ คำว่าสิกขาบทวิภังค์ หมายถึง การจำแนกความสิกขาบท คำว่า บทภาชนีย์ แปลว่าการจำแนกแยกแยะความหมายของบท เป็นการนำเอาคำในสิกขาบทวิภังค์มาขยายความเพิ่มเติมอีก
4. อนาบัติ ว่าด้วยข้อยกเว้นสำหรับผู้ล่วงละเมิดสิกขาบทโดยไม่ต้องอาบัติ
5. วินีตวัตถุ ว่าด้วยเรื่องต่างๆ ของภิกษุผู้กระทำการบางอย่างอันอยู่ในขอบข่ายของสิกขาบทนั้นๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงไต่สวนเอง แล้วทรงวินิจฉัยชี้ขาดไว้
ส่วนในหนังสือนี้จะจัดเรียงโดย
1. นำพระบัญญัติที่รวมอนุบัญญัติแล้วไ้ว้เป็นอันดับแรก เพื่อสะดวกแก่ผู้ศึกษาที่จะนำไปปฏิบัติ จะได้ทราบโดยทันทีว่าสิกขาบทนั้น ๆ ทรงบัญญัติไว้อย่างไร โดยยกพระพุทธพจน์โดยตรงมาเน้นข้อความในเครื่องหมายคำพูดไว้
2 . นำวิภังค์หรือบทภาชนีย์ เฉพาะในบางส่วนที่เห็นว่าคำนั้นผู้ศึกษาอาจจะเข้าใจได้ไม่ชัดเจน เพื่อให้ทราบถึงคำอธิบายที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกโดยตรง ( ในส่วนนี้สันนิฐานว่ามีทั้งที่เป็นพระพุทธาธิบายโดยตรงและบางส่วนเป็นการอธิบายที่อยู่ในชั้นพระสังคาหกาจารย์ผู้รวบรวมพระไตรปิฎก)
3. ตามด้วยอนาบัติ ลักษณะที่ไม่ต้องอาบัิติ เพื่อให้ผู้ศึกษาทราบลักษณะยกเว้นไม่ต้องอาบัตินั้นๆ(สันนิฐานว่ารวบรวมไว้ในชั้นพระสังคาหกาจารย์)ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกโดยตรงในทุกสิขาบท ยกเว้นเสขิยะ
4. ต่อด้วยย่อความเล่าเรื่องต้นบัญญัติ ทีี่มีมาในพระไตรปิฎก เพื่อให้หนังสือไม่หนาเกินไป แต่ยังคงใจความไว้เพื่อให้ทราบที่มา อันจะทำให้ทราบเหตุผล เจตนารมณ์พระพุทธประสงค์ในการบัญญัติสิกขาบทนั้น ๆ(วินีตวัตถุมิได้ย่อไว้ผู้สนใจพึงศึกษาจากพระไตรปิฎก)
3. ในส่วนสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ หรืออภิสมาจาริกสิกขาในคัมภีร์มหาวรรค และจุลวรรค
(พระวินัยปิฎกเล่ม 4, 5, 6, 7) นั้น คงเป็นการย่อใจความเรียงตามการจัดในพระไตรปิฎก แต่จะเน้นข้อความหรือยกพระพุทธพจน์ไว้ในส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
(หมายเหตุ ในพระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ อํ. ติก. 20 / 297 /524 มีพระพุทธดำรัสตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้ย่อมมาสู่อุเทส (การยกขึ้นแสดงในท่ามกลางสงฆ์) ทุกกึ่งเดือนตามลำดับอันกุลบุตร ผู้ปรารถนาประโยชน์พากันศึกษาอยู่ในสิกขาบทเหล่านั้นฯ” จากพระสูตรนี้แสดงให้ทราบว่า ในครั้งพุทธกาลสิกขาบท ที่มาในพระปาติโมกข์หรือที่เรียกว่าอาทิพรหมจริยกาสิกขาบท มี 150 ข้อ คือไม่รวมอนิยต 2 และเสขิยวัตร 75 มิใช่มี 227 ตามที่เข้าใจกันในบัดนี้ ดังนั้น อนิยต และ เสขิยวัตร 75 มิใช่มี 227 ตามที่เข้าใจกันในบัดนี้ ดังนั้น อนิยต และ เสขิยวัตร ควรจะจัดอยู่ในภาคอภิสมาจาริกสิกขาบท แต่เนื่องจากพระไตรปิฎกปัจจุบันได้จัดอนิยตและเสขิยวัตรไว้ในคัมภีรฺ์ ภิกขุวิภังค์ภาค 1 และภาค 2 ตามลำดับ การจัดของหนังสือเล่นนี้อนุวัตรตามพระไตรปิฎก จึงได้จัดไว้ตามนั้น).
4. ได้รวบรวมพระวินัยที่มาในพระไตรปิฎกเล่มอื่น และบางส่วนในคัมภีร์ปริวาร (พระวินัยปิฎก เล่ม 8 ) ที่น่าสนใจมารวมไว้เป็นหมวดหนึ่ง โดยระบุที่มาจากพระไตรปิฎกไว้แล้ว ส่วนตอนอื่นๆข้างต้นนั้น เนื่องจากมีการจัดเรียงตามพระไตรปิฎก เพื่อสะดวกในการค้นหาอยู่แล้วจึงมิได้ระบุที่มาไว้.
5. ได้รวบรวมคำบาลีที่ใช้บ่อย เช่น คำพินทุอธิษฐาน คำเสียสละ ปลงอาบัติ มอบฉันทะ อุโบสถ กรมวาจาสมมติเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์ และ กรรมวาจาสังฆกรรมต่าง ๆ ที่ใช้บ่อย ไว้ในภาคผนวกเพื่อสะดวกในการใช้ด้วย